#คําแนะนําด้านโลจิสติกส์

ใครต้องเป็นคนจ่ายภาษีนําเข้า?

แอนนา ทอมป์สัน
แอนนา ทอมป์สัน
ค้นพบทีมเนื้อหา
อ่าน 5 นาที
graphic image GPS, packages and shipping activities
บทความนี้ครอบคลุมเกี่ยวกับ
ใครต้องเป็นคนจ่ายภาษีนําเข้าและค่าใช้จ่ายเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ SMEs อย่างไร
ผลกระทบของการเรียกเก็บภาษีนําเข้าของสหรัฐฯ ต่อการขนส่งและโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ
กลยุทธ์ที่นําไปใช้ได้จริงสำหรับธุรกิจ SMEs เพื่อลดผลกระทบจากการเรียกเก็บภาษีนําเข้าจากต่างประเทศ

ถ้าคุณทำธุรกิจที่ต้องส่งของไปต่างประเทศอยู่ตลอด น่าจะได้ทราบข่าวว่าสหรัฐอเมริกามีการอัปเดตการเรียกเก็บภาษีใหม่ นี่อาจเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายสำหรับธุรกิจคุณ แต่ไม่ต้องกังวล! บทความนี้จะแบ่งปันคําแนะนําสําคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจ SMEs ก้าวผ่านความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงนี้ เพื่อลดผลกระทบต่อการจัดส่งสินค้าไปต่างประเทศให้ได้มากที่สุด 

ภาษีนำเข้าคืออะไร และคิดอย่างไร?

พูดง่ายๆ ก็คือภาษีนำเข้าคือภาษีศุลกากร หรืออากรที่รัฐบาลกําหนดไว้สําหรับสินค้านําเข้า

เป้าหมายหลักของการเรียกเก็บภาษีนำเข้ามี 2 อย่าง อย่างแรกเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ โดยการทําให้สินค้าต่างประเทศมีราคาแพงขึ้น ภาษีที่เรียกเก็บก็เพื่อช่วยให้ธุรกิจในท้องถิ่นแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างที่สอง ภาษีนำเข้าสร้างรายได้ให้กับรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่ต้องพึ่งพาการค้าเป็นอย่างมาก

ภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ จะจ่ายให้กับหน่วยงานศุลกากรและการป้องกันชายแดน (Customs and Borders Protection agency) ณ ท่าขาเข้าทั่วประเทศ การเรียกเก็บแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับรหัสการจําแนกประเภทมูลค่า ประเทศที่ผลิตและค่าขนส่งที่เกี่ยวข้องสําหรับสินค้านั้นๆ 

แล้วใครต้องเป็นคนจ่ายค่าภาษีนำเข้า?

โดยทั่วไป ความรับผิดชอบในการชําระภาษีจะถูกตกลงกันล่วงหน้าระหว่างผู้ส่งสินค้าและผู้รับสินค้า ข้อตกลงนี้เป็นส่วนหนึ่งของ Incoterms®  ของการจัดส่ง ซึ่งเป็นชุดมาตรฐานสำหรับกิจกรรมการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งจะสรุปว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบในการขนส่ง การประกันภัยสินค้า พิธีการส่งออกและนําเข้า การชําระอากรและภาษี และความเสี่ยงที่ถ่ายโอนจากผู้ขายไปยังผู้ซื้อ สิ่งนี้ช่วยให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตามภาระผูกพันของตน

 

ผลกระทบจากการเรียกเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ คืออะไร?

ในช่วงไม่นานมานี้ สหรัฐฯ ได้กําหนดการเรียกเก็บภาษีหลายประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนําเข้าจากจีน สหภาพยุโรป และประเทศอื่นๆ รวมถึงยกเลิกข้อยกเว้น De Minimis สำหรับการนำเข้าสินค้าไปยังสหรัฐ จากทุกประเทศทั่วโลกด้วยมาตรการทางการค้าที่ปรับเปลี่ยนอย่างกะทันหันนี้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ SMEs ในต่างประเทศที่ทำการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งปกติมักจะดําเนินงานด้วยอัตรากําไรที่น้อยกว่าและมีความยืดหยุ่นน้อยกว่าบริษัทขนาดใหญ่

การเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้ามักจะกำหนดให้มีผลอย่างรวดเร็ว แบบไม่ทันตั้งตัว ยิ่งทำให้ธุรกิจ SMEs ต้องดิ้นรนเพื่อปรับตัว ในขณะเดียวกันก็พยายามตอบสนองความคาดหวังของลูกค้าในสหรัฐฯ ที่ต้องการการจัดส่งสินค้าข้ามประเทศที่รวดเร็วและเชื่อถือได้

ความตึงเครียดทางการค้าในวงกว้างทําให้ต้นทุนการขนส่งสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเส้นทางที่มีการขนส่งข้ามประเทศหนาแน่น เช่น เอเชียไปยังสหรัฐอเมริกา ซัพพลายเออร์บางรายต้องเปลี่ยนเส้นทางการจัดส่งเพื่อหลีกเลี่ยงเส้นทางขนส่งที่แออัดหรือที่ต้องผ่านกระบวนการศุลกากรที่ซับซ้อนมากขึ้น ความล่าช้าหรือการตรวจสอบที่เกี่ยวข้องกับการเรียกเก็บภาษียังทําให้เกิดค่าธรรมเนียมพิเศษ การหักค่าสินค้า ค่าคลังสินค้า และต้นทุนด้านโลจิสติกส์ที่ไม่คาดฝันอื่นๆ

จนบางทีเกิดเป็นคำถามกับธุรกิจ SME ว่าสรุปใครต้องเป็นคนจ่ายค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเหล่านี้กันแน่ สําหรับธุรกิจเอง การแบกรับค่าใช้จ่ายนี้เองไม่ใช่สิ่งที่ธุรกิจอยากทำ แต่การผลักภาระนี้ให้กับลูกค้าเป็นคนจ่ายก็อาจทำให้ธุรกิจของพวกเขาแข่งขันได้น้อยลง จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ช่วงเวลานี้ทำให้ธุรกิจเครียดและสับสันมาก แต่ก็ยังพอมีข่าวดีอยู่บ้าง แม้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะสำคัญและเลี่ยงไม่ได้ แต่ยังมีขั้นตอนที่ธุรกิจ SMEs ทําได้ด้วยเช่นกัน เพื่อก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น...

ธุรกิจสามารถลดผลกระทบจากการเรียกเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ได้อย่างไร?

เพื่อลดผลกระทบของการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าสู่สหรัฐอเมริกา ซึ่งมีผลบังคับใช้ในตอนนี้ ธุรกิจควรดําเนินการตามขั้นตอนเชิงกลยุทธ์เพื่อปรับตัวดังนี้

ภาพกราฟิกของแว่นขยายพร้อมกราฟ

1. ใช้แนวทางเชิงรุก

เริ่มต้นด้วยการตรวจสอบซัพพลายเชนของธุรกิจตัวเองอย่างละเอียดเพื่อระบุจุดที่เสี่ยงต่อการถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้า หากส่งสินค้าเข้าไปยังสหรัฐฯ คําถามสําคัญในการตรวจสอบ คือ

  • มีส่วนประกอบหรือวัตถุดิบอะไรบ้างที่ต้องนำเข้ามา
  • สินค้าเหล่านี้นำเข้ามาจากประเทศไหนบ้าง
  • รายการเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องจ่ายค่าภาษีนำเข้าอยู่แล้ว หรือจะต้องถูกเรียกเก็บในอนาคต

เครื่องมือต่างๆ เช่น ซอฟต์แวร์การทําแผนผังซัพพลายเชน หรือแม้แต่สเปรดชีตง่ายๆ สามารถช่วยคุณติดตามและประเมินความเสี่ยงได้ ถ้าเคลียร์ได้แล้ว คุณจะเริ่มเห็นความชัดเจนว่าธุรกิจของคุณจะมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากจุดไหนบ้าง จะได้ปรับกลยุทธ์การจัดซื้อจัดจ้างใหม่ก่อนที่จะเกิดผลกระทบมากขึ้น

ภาพกราฟิกของโลกที่มีเครื่องบินล้อมรอบโลก

2. ลองใช้ซัพพลายเออร์จากหลายๆ ที่

แทนที่จะพึ่งพาซัพพลายเออร์จากประเทศเดียว โดยเฉพาะประเทศที่มีภาษีสูง

  • ค้นหาซัพพลายเออร์ทางเลือกในประเทศที่สหรัฐฯ มีข้อตกลงทางการค้าที่ดี (เช่น บางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้)
  • พิจารณา nearshoring หรือ reshoring เพื่อลดการพึ่งพาการขนส่งระหว่างประเทศและหลีกเลี่ยงความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์

การกระจายความเสี่ยงไม่เพียงแต่ช่วยให้ธุรกิจของคุณลดความเสี่ยงด้านภาษี แต่ยังช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นต่อการหยุดชะงักของธุรกิจอื่นๆ เช่น โรคระบาดหรือภัยธรรมชาติ

ลูกโลกวางอยู่บนแว่นขยาย

3. มองหาตลาดใหม่

มีโลกใบใหญ่รออยู่ข้างนอก! ถ้าการเรียกภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ลดอัตรากําไรของธุรกิจคุณ ลองพิจารณาตลาดอื่นๆ ไปด้วยดีมั้ย

  • ตลาดภายในประเทศที่ภาษีศุลกากรไม่ทำให้เกิดอุปสรรคของธุรกิจ
  • ขยายไปยังประเทศหรือภูมิภาคอื่นๆ ที่สภาวะการค้าเอื้ออํานวยและมีการเรียกเก็บภาษีต่ำกว่า
  • กําหนดเป้าหมายตลาดเกิดใหม่ที่มีความต้องการผลิตภัณฑ์ของคุณเพิ่มขึ้นและอุปสรรคทางการค้าน้อยลง
  • ดูข้อตกลงการค้าระดับภูมิภาคที่ประเทศของคุณเป็นส่วนหนึ่ง ซึ่งอาจเปิดประตูสู่ตลาดเพื่อนบ้าน

การไม่พึ่งพาสหรัฐฯ เพียงประเทศเดียวอาจช่วยคุณลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับภาษีศุลกากร และเปิดโอกาสในการสร้างรายได้ใหม่ๆ จากตลาดใหม่ๆ ได้

ลูกโลกวางอยู่บนแว่นขยาย

4. สร้างสัมพันธ์ที่ดีกับพาร์ทเนอร์การค้าและโลจิสติกส์

ความร่วมมือที่แข็งแกร่งสามารถให้ความยืดหยุ่นกับธุรกิจมากขึ้นและราคาที่ดีขึ้นในช่วงเวลาที่ปั่นป่วน

  • ทํางานอย่างใกล้ชิดกับผู้ขนส่งสินค้า โบรคเกอร์ และผู้ให้บริการโลจิสติกส์เพื่อทําความเข้าใจไทม์ไลน์และค่าใช้จ่ายในการจัดส่ง
  • พัฒนาความสัมพันธ์กับซัพพลายเออร์ที่ช่วยให้สามารถเจรจาต่อรองเงื่อนไขหรือตัวเลือกการจัดหาทางเลือกได้ดีขึ้น
  • ส่งเสริมความโปร่งใสและการทํางานร่วมกันตลอดซัพพลายเชนเพื่อทําการตัดสินใจร่วมกันที่เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย

พาร์ทเนอร์ที่เชื่อถือได้มีความสําคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยธุรกิจปรับกลยุทธ์ด้านโลจิสติกส์หรือเมื่อจําเป็นต้องเปลี่ยนอุปทานในทันที

ภาพกราฟิกของชายคนหนึ่งถือโทรโข่ง

5. ติดตามข้อมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงเรื่องภาษี

นโยบายการเรียกเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ สามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วและบ่อยครั้งโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้ามากนัก ดังนั้นธุรกิจ SMEs จะต้องปฏิบัติดังนี้

  • ติดตามประกาศของรัฐบาลจากผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) และกระทรวงพาณิชย์
  • สมัครรับจดหมายข่าวอุตสาหกรรมหรือเข้าร่วมสมาคมการค้าที่ให้ข้อมูลอัปเดตและการวิเคราะห์นโยบาย
  • หาผู้ช่วยหรือที่ปรึกษาด้านโลจิสติกส์เพื่อให้มั่นใจว่าธุรกิจปฏิบัติตามกฎระเบียบทางการค้าที่ซับซ้อนนี้ได้อย่างสมบูรณ์ 

การติดตามข้อมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนเรื่องด้านนโยบายภาษีนำเข้าจะช่วยให้ธุรกิจของคุณปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว คุณจะได้เปรียบคู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็นการกักตุนสินค้าก่อนที่การเรียกเก็บภาษีใหม่จะมาถึง หรือก้าวเข้าสู่ตลาดใหม่ได้เร็วกว่าคู่แข่ง 

สําหรับธุรกิจ SMEs การปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงการเรียกเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ไม่ใช่แค่การจัดการต้นทุนเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับความยืดหยุ่นเชิงกลยุทธ์ ด้วยจุดยืนเชิงรุกและมุ่งเน้นไปที่การกระจายความเสี่ยง การขยายตลาดและการพัฒนาสัมพันธ์กับพาร์ทเนอร์ ธุรกิจของคุณจะไม่เพียงแต่จะอยู่รอด แต่ยังอาจแข็งแกร่งขึ้น แม้ว่าการค้าโลกจะทวีความท้าทายมากกว่าเดิมก็ตาม

คําถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ

โดยทั่วไป ความรับผิดชอบในการชําระภาษีจะถูกตกลงกันล่วงหน้าระหว่างผู้ส่งสินค้าและผู้รับล่วงหน้า นี่เป็นส่วนหนึ่งของ Incoterms®  ของการจัดส่ง ซึ่งเป็นชุดมาตรฐานสำหรับกิจกรรมการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งจะสรุปว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบในการขนส่ง การประกันภัยสินค้า พิธีการส่งออกและนําเข้า การชําระอากรและภาษี และความเสี่ยงที่ถ่ายโอนจากผู้ขายไปยังผู้ซื้อ สิ่งนี้ช่วยให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตามภาระผูกพันของตน

 

เหตุผลสําคัญ ได้แก่

  • เพื่อปกป้องงานและอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ
  • เพื่อลดการขาดดุลการค้า
  • เพื่อลงโทษประเทศที่ถูกกล่าวหาว่าขโมยทรัพย์สินทางปัญญาหรือการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม
  • เพื่อปรับสมดุลความสัมพันธ์ทางการค้าให้เป็นประโยชน์ต่อสหรัฐฯ

  • ต้นทุนสินค้าที่ส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้น
  • การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันโดยไม่มีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้าทําให้วางแผนได้ยาก
  • กระบวนการขนส่งและศุลกากรที่ค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น
  • ซัพพลายเชนหยุดชะงัก
  • ความยากลําบากในการตอบสนองความคาดหวังด้านราคาและการขนส่งสินค้าไปยังผู้ซื้อในสหรัฐฯ

ทางเลือกบางส่วน ได้แก่

  • การเปลี่ยนการผลิตหรือการจัดหา (sorucing) ไปยังประเทศที่ปลอดภาษี
  • การยื่นขอยกเว้นภาษี (ในบางกรณี)
  • การเจรจาเงื่อนไขซัพพลายเชนอีกครั้ง
  • สํารวจตลาดทางเลือกนอกเหนือจากสหรัฐอเมริกา

ส่งของไปต่างประเทศอย่างรวดเร็วและเชื่อถือได้ในทุกสถานการณ์ เปิดบัญชีธุรกิจกับ DHL Express วันนี้! 

 

สมัครบัญชีธุรกิจ DHL Express