ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างประเทศไทยและสหรัฐอเมริกา เป็นรากฐานสำคัญของการส่งออกของไทยมาอย่างยาวนาน โดยในปี 2024 การจัดส่งสินค้าจากประเทศไทยไปสหรัฐอเมริกามีมูลค่าสูงถึง 66.01 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ครอบคลุมผลิตภัณฑ์หลากหลายประเภท เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนรถยนต์ สิ่งทอ และอาหารทะเล¹
แต่จากการประกาศใช้ภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ชุดใหม่ ภายใต้รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ประกอบการส่งออกและผู้นำเข้าของไทย ควรจะต้องเตรียมความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่อาจส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันในตลาดอเมริกา เพราะหากไม่มีการเตรียมการที่เหมาะสม ธุรกิจอาจต้องเผชิญกับต้นทุนที่คาดไม่ถึง และอาจส่งผลต่อความล่าช้าในการจัดส่ง หรือแม้กระทั่งยังอาจทำให้ผู้ประกอบการต้องเจอกับบทลงโทษทางด้านภาษี และเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันเอาไว้ ผู้ส่งออกไทยจึงจำเป็นต้องทำความเข้าใจรายละเอียดของภาษีนำเข้าเหล่านี้ให้ครบถ้วน ว่าจะส่งผลกระทบต่อการส่งของไปอเมริกาอย่างไร และมีขั้นตอนใดบ้างที่สามารถทำได้เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้น
สรุปสิ่งที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับ ข้อบังคับใหม่ของภาษีนำเข้าสหรัฐฯ สำหรับไทย
อัตราภาษีศุลกากรสหรัฐฯ ชุดใหม่ มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ 31 กรกฎาคม 2025 โดยมีการเปลี่ยนแปลงหลักสามประการที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ส่งออกและผู้นำเข้าของไทย
ประการแรกคือ การบังคับใช้อัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ภายใต้กรอบการทำงานใหม่ สินค้าส่งออกไทยบางประเภทจะต้องเสียภาษีในอัตรา 19% เมื่อเข้าสู่ประเทศสหรัฐอเมริกา² อัตรานี้ใช้กับสินค้าหลากหลายประเภท ทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักรอุตสาหกรรม และสินค้าอุปโภคบริโภค สำหรับธุรกิจไทย สิ่งนี้อาจทำให้อุปสงค์จากผู้ซื้อชาวอเมริกันลดลง เนื่องจากพวกเขาอาจมองหาทางเลือกที่มีราคาถูกกว่าจากที่อื่น
ประการที่สองคือ การมุ่งเน้นที่การป้องกันการส่งผ่านสินค้า (Transshipment) ที่เข้มงวดมากขึ้น หากการจัดส่งถูกตั้งข้อสงสัยว่ามีการส่งผ่านสินค้าจากเขตเศรษฐกิจที่ถูกจำกัดหรือจากประเทศที่สาม อาจต้องถูกปรับถึง 40%² ซึ่งหมายความว่า ผู้ส่งออกไทยต้องสามารถแสดงหลักฐาน ว่าผลิตภัณฑ์ของตนผลิตหรือถูกแปรรูปในประเทศไทย
สุดท้าย การยกเลิกข้อยกเว้น De Minimis (การยกเว้นอากรสำหรับสินค้าราคาต่ำ) มีผลกระทบอย่างมากต่อการจัดส่งสินค้าขนาดเล็ก ซึ่งก่อนหน้านี้ สินค้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 800 เหรียญสหรัฐฯ สามารถจัดส่งเข้าประเทศสหรัฐอเมริกาได้โดยไม่ต้องเสียอากรศุลกากร³ แต่เมื่อข้อยกเว้นนี้ได้ถูกระงับการใช้ ทำให้ผู้ประกอบการที่ส่งออกสินค้าราคาต่ำ เช่น เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ หรือผลิตภัณฑ์อาหาร จำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ด้านการกำหนดราคาและรูปแบบการจัดส่งโดยรวม เพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้น
วิธีลดผลกระทบต่อธุรกิจของคุณ
แม้ว่าข้อกำหนดด้านภาษีศุลกากรสหรัฐฯ ที่เก็บจากไทยชุดใหม่อาจก่อให้เกิดอุปสรรคในการทำธุรกิจ แต่ธุรกิจไทยสามารถดำเนินมาตรการเชิงรุกเพื่อปกป้องตนเองในการนำเข้าและส่งออก เพื่อช่วยให้การส่งของไปอเมริการาบรื่นยิ่งขึ้น
เข้าใจ “รหัส HTS” และ “MID”
จุดเริ่มต้นของการปฏิบัติตามกฎระเบียบภาษีนำเข้าสู่สหรัฐฯ คือ การจำแนกประเภทผลิตภัณฑ์ที่ถูกต้อง โดยผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นจะต้องมีรหัส Harmonized Tariff Schedule (HTS) 10 หลัก ที่ใช้กำหนดอัตราอากรศุลกากรสหรัฐอเมริกา⁴ ซึ่งการใช้รหัสที่ไม่ถูกต้อง ไม่เพียงนำไปสู่การถูกเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเกินความจำเป็น แต่ยังเพิ่มข้อสงสัยระหว่างการตรวจสอบศุลกากรอีกด้วย
MID (Manufacturers Identification Code) คือรหัสผู้ผลิต คือรหัสเฉพาะที่ใช้ในการระบุผู้ผลิตหรือผู้ส่งสินค้า ซึ่งเป็นเครื่องมือที่จำเป็นและมีความสำคัญต่อการตรวจสอบสินค้าสำหรับการผ่านพิธีการศุลกากรอย่างเป็นทางการของสหรัฐอเมริกา
รหัส MID จะถูกรายงานต่อกับหน่วยงานศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐฯ (U.S. Customs and Border Protection: CBP) ในขั้นตอนการนำเข้าสินค้าและสรุปการนำเข้าสินค้าไปยังสหรัฐอเมริกา โดยรหัส MID จะถูกสร้างขึ้นจากชื่อและที่อยู่ใน Commercial Invoice ผ่านกระบวนการทางอัลกอริธึม เพื่อให้ได้มาซึ่งรหัสเฉพาะสำหรับผู้ผลิตหรือผู้ส่งสินค้านั้นๆ ส่วนใหญ่แล้วผู้ส่งออกหรือผู้ส่งสิงค้าจะเป็นผู้ระบุรหัส MID นี้ อย่างไรก็ตามสำหรับสินค้าในกลุ่มสิ่งทอและผลิตภัณฑ์จากสิ่งทอ (เช่น เบาะ, ธง, เต็นท์) รหัส MID จะต้องระบุข้อมูลผู้ผลิตสินค้าจริง
รูปแบบของรหัส MID จะเหมือนกันเสมอ เพื่อให้ศุลกากรหรือผู้ใช้งานทุกคนสามารถระบุและใช้ MID เดียวกันเมื่อดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับศุลกากร โดยรหัส MID จะมีองค์ประกอบทั้งหมด 4 ส่วนดังนี้
- รหัสประเทศ: ใช้รหัสประเทศ ISO แบบ 2 ตัวอักษร* เช่น Germany คือ DE
- ชื่อบริษัท: ใช้ตัวอักษร 3 ตัวแรกของแต่ละคำ จาก 2 คำแรกของชื่อ
- เลขที่อยู่: ใช้เลข 4 หลักแรกของตัวเลขที่ใหญ่ที่สุดในบรรทัดที่อยู่ (ไม่รวมรหัสไปรษณีย์)
- ชื่อเมือง: ใช้อักษร 3 ตัวแรกของชื่อเมือง เช่น London คือ LON
*หมายเหตุ: รหัสประเทศใช้แบบ ISO 2 ตัวอักษร ยกเว้นประเทศแคนาดา (Canada) ซึ่งจะใช้เป็นรหัสจังหวัด
เตรียมเอกสารให้พร้อม
เนื่องจากการตรวจสอบการส่งผ่านสินค้าที่เข้มงวดขึ้น ผู้นำเข้าและผู้ส่งออกต้องมั่นใจว่าเอกสารของตนชัดเจน ครบถ้วน และปราศจากข้อผิดพลาด ทั้งใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า ใบกำกับสินค้าเชิงพาณิชย์ และรายการบรรจุภัณฑ์ที่ต้องสอดคล้องกันทั้งหมด เพื่อพิสูจน์ว่าสินค้ามีแหล่งกำเนิดจากประเทศไทย เพราะหากเกิดความคลาดเคลื่อนใด ๆ ก็อาจนำไปสู่ความล่าช้า บทลงโทษ หรือภาษีนำเข้าและส่งออกที่สูงขึ้น ตามที่ได้กำหนดจากพิธีการศุลกากรของสหรัฐอเมริกา
คำนวณต้นทุนล่วงหน้าอย่างรัดกุม
ภาษีนำเข้าในสหรัฐฯ ที่สูงขึ้น ยังอาจส่งผลกระทบต่อส่วนต่างของกำไรได้อย่างมาก หากไม่ได้นำมาคำนวณในการกำหนดราคา ผู้ส่งออกไทยจึงควรคำนวณภาษีส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา พร้อมกับปรับกลยุทธ์การกำหนดราคาให้เหมาะสม โดยแพลตฟอร์มดิจิทัลอย่าง MyDHL+ จาก DHL Express สามารถช่วยให้ธุรกิจของคุณคำนวณอากรและค่าธรรมเนียมล่วงหน้าได้ ทำให้มั่นใจในการสื่อสารที่โปร่งใสกับผู้ซื้อในสหรัฐอเมริกา และหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นในอนาคต
วิธีคำนวณอากรศุลกากรเมื่อจัดส่งสินค้าจากไทยไปสหรัฐอเมริกา
ในการคำนวณอัตราอากรของศุลกากรสหรัฐอเมริกาที่ต้องชำระ ผู้ส่งออกไทยต้องใช้ข้อมูลสำคัญสามส่วน ได้แก่ รหัส HTS 10 หลัก, อัตราอากรที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และ มูลค่า CIF (Cost, Insurance, and Freight) ของการจัดส่ง โดยคุณสามารถใช้แพลตฟอร์ม MyGTS ของ DHL เพื่อประมาณต้นทุนรวมที่แท้จริงทั้งหมด (Landed Cost) ซึ่งสามารถคำนวณด้วยตนเองตามขั้นตอนเหล่านี้
ขั้นตอนที่ 1 : ระบุรหัส HTS
ระบุรหัส HTS ที่ถูกต้องสำหรับผลิตภัณฑ์ของคุณ โดยรหัสนี้คือสิ่งที่จะกำหนดอัตราอากรพื้นฐาน และเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าผลิตภัณฑ์ของคุณอยู่ภายใต้อัตราภาษีตอบโต้ 19% หรือไม่
ขั้นตอนที่ 2 : ตรวจสอบอัตราอากร
เมื่อทราบรหัส HTS แล้ว ให้ระบุอากรและค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งอาจรวมถึง
- อากร HTS พื้นฐานสำหรับประเภทผลิตภัณฑ์
- อัตราภาษีตอบโต้ 19% (หากมี)
- ภาษีสรรพสามิตสำหรับสินค้าที่ถูกจำกัด เช่น แอลกอฮอล์หรือยาสูบ
ขั้นตอนที่ 3 : กำหนดมูลค่า CIF
มูลค่า CIF คือ ผลรวมของมูลค่าที่สำแดงในใบกำกับสินค้า ต้นทุนประกัน และค่าขนส่งไปยังท่าเรือขาเข้าของสหรัฐอเมริกา อากรศุลกากรจะถูกคำนวณจากมูลค่ารวมนี้เสมอ ไม่ใช่แค่ราคาตามใบกำกับสินค้า
ขั้นตอนที่ 4 : คำนวณอากรและค่าธรรมเนียม
หากต้องการทราบอากรทั้งหมดที่ต้องชำระ ให้คูณมูลค่า CIF ด้วยอัตราอากร HTS จากนั้นบวกค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม
ตัวอย่างเช่น หากคุณกำลังส่งออกเครื่องจักรที่มีมูลค่า CIF 50,000 เหรียญสหรัฐฯ และอัตราอากรคือ 2% บวกกับภาษี 19% ใหม่ คุณจะต้องเสียอากรทั้งหมด 10,500 เหรียญสหรัฐฯ
จัดส่งอย่างมั่นใจ กับบริการดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส
ในสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับกฎระเบียบที่ซับซ้อน สิ่งที่ผู้ส่งออกต้องการไม่ใช่แค่ผู้ให้บริการจัดส่ง แต่ต้องการพันธมิตรด้านโลจิสติกส์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบ พิธีการศุลกากร พร้อมนำเสนอโซลูชันสำหรับการจัดส่งข้ามพรมแดน DHL Express มาพร้อมบริการเหล่านี้ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจไทยในการส่งของไปอเมริกา
ความเชี่ยวชาญด้านศุลกากร
ทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านศุลกากรของเรา พร้อมติดตามนโยบายการค้าของสหรัฐอเมริกาที่เปลี่ยนแปลงอย่างสม่ำเสมอ ช่วยให้ผู้ส่งออกสามารถรับมือกับข้อกำหนดต่าง ๆ เช่น การจำแนกประเภท HTS รหัส MID ใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า และการประเมินมูลค่า ด้วยคำแนะนำของเรา คุณสามารถหลีกเลี่ยงความผิดพลาดที่อาจนำไปสู่บทลงโทษที่มีค่าใช้จ่ายสูงได้
พิธีการศุลกากรและการคำนวณอากรอย่างมีประสิทธิภาพ
ด้วยเครือข่ายทั่วโลกและความเชี่ยวชาญในท้องถิ่นของบริษัทขนส่งดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส เราช่วยปรับปรุงพิธีการศุลกากรให้ราบรื่นขึ้น ทำให้คุณมั่นใจว่าการดำเนินการจะเป็นไปอย่างรวดเร็ว แม้อยู่ภายใต้การตรวจสอบที่เข้มงวดของสหรัฐอเมริกา ด้วยเครื่องมือตรวจสอบต้นทุนการจัดส่งของดีเอชแอลที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถคำนวณอากรได้ล่วงหน้า และมั่นใจว่าการจัดส่งจะเป็นไปตามข้อกำหนดของสหรัฐอเมริกาโดยไม่ล่าช้า
ตรวจสอบได้แบบ End-to-End
ตั้งแต่การรับสินค้าในประเทศไทย ไปจนถึงการจัดส่งในสหรัฐอเมริกา DHL Express ช่วยให้คุณติดตามทุกขั้นตอนของการจัดส่งได้อย่างสมบูรณ์ ด้วยการติดตามแบบเรียลไทม์ เราช่วยให้คุณสามารถตรวจสอบความคืบหน้า พร้อมรับมือกับผู้ซื้อในสหรัฐอเมริกา และยืนยันการจัดส่งได้ตรงเวลา
เตรียมพร้อมสำหรับอนาคตการค้าระหว่างประเทศไทยและสหรัฐอเมริกา
ไม่ว่าจะเป็นการระงับการยกเว้น De Minimis, การบังคับใช้อัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) และการบังคับใช้กฎระเบียบการส่งผ่านสินค้าที่เข้มงวดขึ้น ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการเปิดฉากใหม่ในความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา แต่สำหรับผู้ส่งออกแล้ว การก้าวเดินไปยังเส้นทางที่รออยู่ข้างหน้าต้องอาศัยทั้งความรอบคอบ การทำเอกสารที่ถูกต้อง และการจัดการต้นทุนเชิงรุก
การเป็นพันธมิตรกับ DHL Express จะช่วยให้ธุรกิจไทยได้รับมากกว่าแค่บริการพัสดุระหว่างประเทศ แต่ยังช่วยให้คุณเข้าถึงความเชี่ยวชาญระดับโลก การสนับสนุนด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบ และเครื่องมือดิจิทัลที่ออกแบบมาเพื่อลดความซับซ้อนของการค้าระหว่างประเทศ
หากคุณกำลังวางแผนการส่งของไปอเมริกา สามารถใช้เครื่องมือคำนวณต้นทุนการจัดส่งออนไลน์ของดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส เพื่อประเมินค่าใช้จ่ายเบื้องต้นอย่างโปร่งใสและชัดเจน สำหรับอัตราอากร ค่าธรรมเนียม และค่าบริการส่งพัสดุระหว่างประเทศ คุณสามารถคำนวณต้นทุนการจัดส่งได้เลยตอนนี้ เพื่อการส่งสินค้าไปสหรัฐอเมริกาด้วยความมั่นใจ