#คําแนะนําเกี่ยวกับอีคอมเมิร์ซ

คู่มือการขนส่งของไปอเมริกาจากประเทศไทย ต้องรู้อะไรบ้าง?

7 นาทีอ่าน

สหรัฐอเมริกา (United States of America: USA) เป็นตลาดสำคัญของผู้ประกอบการไทยที่ต้องการขยายธุรกิจไปสู่ตลาดโลก ด้วยจำนวนประชากรที่มีมากกว่า 340 ล้านคน และเป็นผู้บริโภคที่นิยมซื้อสินค้าออนไลน์ ทั้งยังมีเศรษฐกิจที่เติบโตต่อเนื่อง ทำให้สหรัฐฯ ยังเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงสำหรับผู้ส่งออกสินค้าไทย

จากข้อมูลของ U.S. Census Bureau ระบุว่า ในไตรมาสแรกของปี 2025 มียอดขายอีคอมเมิร์ซในสหรัฐฯ กว่า 299.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 16.1% ของยอดค้าปลีกทั้งหมด ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นถึงโอกาสมหาศาลสำหรับธุรกิจไทยที่ต้องการเจาะตลาดนักช้อปชาวอเมริกัน1  และแม้จะมีร้านค้าอยู่ที่ประเทศไทย แต่ก็สามารถใช้บริการจัดส่งระหว่างประเทศไปอเมริกาได้อย่างสะดวก 

อย่างไรก็ตาม ตลาดสหรัฐฯ ยังเต็มไปด้วยความท้าทาย ทั้งการแข่งขันกับแบรนด์ในประเทศ การเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการค้า และกฎภาษีที่ซับซ้อน ผู้ส่งออกไทยจึงต้องเตรียมพร้อมอย่างรอบด้าน 

เพื่อก้าวข้ามความท้าทายต่าง ๆ เหล่านี้ ผู้ประกอบการไทยจึงต้องเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภคชาวอเมริกันในทุกแง่มุม รวมถึงความรู้เกี่ยวกับระบบภาษีและกฎระเบียบต่าง ๆ ที่ซับซ้อนของการขนส่งจากประเทศไทยไปสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญของการขยายตลาดได้อย่างยั่งยืนและมั่นคง 

สถานการณ์การค้าระหว่างไทย–สหรัฐฯ ล่าสุดที่ผู้ประกอบการควรรู้

ในปี 2025 สถานการณ์ทางการค้าของไทยและสหรัฐฯ มีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก ซึ่งผู้ส่งออกควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ดังนี้

  • การปรับขึ้นภาษีขาออกจากไทยไปอเมริกา ปัจจุบัน สหรัฐฯ กำหนดอัตราภาษีอยู่ที่ 19% สำหรับสินค้าส่วนใหญ่ที่นำเข้าจากประเทศไทย โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2025 เป็นต้นไป
  • ยกเลิกสิทธิ์ยกเว้นภาษี De Minimis สินค้าที่มีมูลค่าไม่เกิน 800 ดอลลาร์สหรัฐ จะไม่ได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าอีกต่อไป ทุกพัสดุไม่ว่าจะมีมูลค่าเท่าใด ต้องเสียภาษีและค่าธรรมเนียมศุลกากรทั้งหมด 
  • การตรวจสอบสินค้าข้ามประเทศที่เข้มงวดขึ้น หากพบว่ามีการส่งต่อสินค้าผ่านประเทศที่สามเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี สหรัฐฯ จะเรียกเก็บค่าปรับสูงถึง 40% ทำให้ต้องมีใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าประกอบด้วย
  • ไปรษณีย์ไทยระงับการจัดส่งพัสดุไปสหรัฐฯ ตั้งแต่วันที่ 22 สิงหาคม 2025 เป็นต้นไป การส่งพัสดุจากไทยไปอเมริกาผ่านไปรษณีย์ไทยถูกระงับชั่วคราว ผู้ประกอบการจึงควรเลือกใช้ผู้ให้บริการเอกชน เช่น DHL Express

หากต้องการส่งของไปอเมริกา อย่างมั่นใจ สามารถตรวจสอบค่าขนส่งจากไทยไปอเมริกา ผ่านระบบของ DHL ได้โดยตรง เพื่อคำนวณต้นทุนก่อนยืนยันการจัดส่ง 

ตลาดสหรัฐฯ โอกาสทองของผู้ประกอบการไทย

ตลาดผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกามีความหลากหลาย และเปิดรับสินค้าจากต่างประเทศมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ตลาดอีคอมเมิร์ซเฟื่องฟู โดยกว่า 50% ของผู้บริโภคชาวอเมริกันนิยมซื้อสินค้าออนไลน์จากต่างประเทศ ทำให้แบรนด์ไทยมีโอกาสนำเสนอเอกลักษณ์และคุณภาพสินค้าสู่ตลาดนี้ได้อย่างเปิดกว้างยิ่งขึ้น

ข้อมูลจาก Trading Economics ระบุว่า ในเดือนมีนาคม 2025 การส่งออกจากประเทศไทยไปสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นถึง 47.4% สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของสินค้าส่งออกไทย โดยเฉพาะกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ อัญมณี ยางพารา และยานยนต์ หากผู้ประกอบการเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคชาวอเมริกันในแต่ละกลุ่มสินค้า ก็จะสามารถปรับกลยุทธ์การขายให้ตอบโจทย์ตลาดได้ดียิ่งขึ้น

แล้วอะไรคือสิ่งที่ผู้บริโภคชาวอเมริกันมองหาในสินค้าและบริการจากต่างประเทศกันแน่ ?

เข้าใจผู้บริโภคอเมริกันให้มากขึ้น

การส่งของจากไทยไปอเมริกาให้ลูกค้าที่อยู่คนละซีกโลกได้อย่างมั่นใจ

การเข้าใจแรงจูงใจในการซื้อสินค้าต่างประเทศของชาวอเมริกันเป็นกุญแจสำคัญของการวางกลยุทธ์ทางการตลาดและการขายของผู้ประกอบการไทย 

ปัจจัยที่เป็นแรงดึงดูดสำคัญก็คือเรื่องของ “ราคา” โดยชาวอเมริกันให้ความสำคัญกับความคุ้มค่า โดยเฉพาะหลังจากต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน และผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้โปรโมชันและกลยุทธ์การเปรียบเทียบราคากลายเป็นสิ่งที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้า นอกจากนี้ ผู้บริโภคชาวอเมริกันยังมองว่าการซื้อสินค้าในปริมาณมากให้ความคุ้มค่ามากกว่า และเนื่องจากต้นทุนการผลิตในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมักต่ำกว่าในสหรัฐฯ ผู้ค้าส่งจำนวนไม่น้อยในอเมริกาจึงนิยมสั่งซื้อสินค้าแบบยกลอตจากต่างประเทศเพื่อจำหน่ายต่อในประเทศ

เมื่อผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความคุ้มค่ามากขึ้น ราคาไม่เพียงเป็นปัจจัยหลักในการเลือกซื้อ แต่ยังเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคเปลี่ยนใจจากแบรนด์เดิมไปทดลองแบรนด์ใหม่ ๆ รวมถึงแบรนด์ต่างประเทศที่นำเสนอสินค้าที่ไม่มีในประเทศ จึงไม่น่าแปลกใจที่การจัดส่งสินค้าไปยังสหรัฐฯ จะมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ดังนั้น หากผู้ประกอบการไทยเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการเหล่านี้อย่างถ่องแท้ ก็จะสามารถปรับกลยุทธ์การขายให้ตอบโจทย์ตลาดได้ดียิ่งขึ้น

สิ่งที่ผู้ขายไทยควรรู้เกี่ยวกับการส่งของไปอเมริกาจากประเทศไทย

เพื่อให้การส่งของจากไทยไปสหรัฐฯ เป็นไปอย่างราบรื่นและผ่านการตรวจปล่อยสินค้าจากศุลกากรได้อย่างรวดเร็ว ผู้ประกอบการจำเป็นต้องเข้าใจวิธีส่งของไปอเมริกาอย่างราบด้าน รวมถึงเรื่องของภาษีขาออกจากไทยไปอเมริกา ค่าธรรมเนียม และเอกสารที่ต้องจัดเตรียมก่อนส่งออกอย่างครบถ้วน

1. กฎ De Minimis สำหรับสินค้าที่นำเข้าสหรัฐฯ

ตั้งแต่วันที่ 30 กรกฎาคม 2025 สหรัฐฯ ได้ประกาศระงับกฎ “De Minimis” ที่เคยยกเว้นภาษีนำเข้าสำหรับสินค้ามูลค่าไม่เกิน 800 ดอลลาร์สหรัฐ นั่นหมายความว่าเกือบทุกพัสดุที่เข้าสหรัฐฯ จะต้องเสียภาษีและค่าธรรมเนียมศุลกากรทั้งหมด กฎใหม่นี้ส่งผลโดยตรงต่อผู้ขายออนไลน์ (B2C) และผู้ส่งออกสินค้าปริมาณน้อย ซึ่งจำเป็นต้องเพิ่มความรอบคอบในการจัดการภาษีและเอกสารการนำเข้า

ดังนั้น ผู้ประกอบการในไทยที่ต้องการส่งของไปอเมริกา ควรตรวจสอบค่าธรรมเนียมและภาษีล่วงหน้าก่อนการจัดส่ง เพื่อป้องกันความล่าช้าหรือปัญหาในขั้นตอนศุลกากร

2. เอกสารที่จำเป็นสำหรับการผ่านศุลกากรในสหรัฐฯ

การขนส่งจากไทยไปสหรัฐฯ ไม่ว่าจะไปยังซีแอตเทิล ฟลอริดา หรือเท็กซัส จำเป็นต้องมีเอกสารสำคัญสำหรับการตรวจปล่อยสินค้า โดยเอกสารเหล่านี้ใช้เพื่อยืนยันความถูกต้องตามกฎหมายศุลกากรของสหรัฐฯ และช่วยให้กระบวนการนำเข้าสินค้าเป็นไปอย่างราบรื่น

เอกสารหลักที่ต้องใช้คือ ใบกำกับสินค้า (Commercial Invoice) ซึ่งถือเป็นเอกสารสำคัญที่สุดในการดำเนินพิธีการศุลกากร โดยต้องจัดทำตามข้อกำหนดของหน่วยงานศุลกากรสหรัฐฯ (U.S. Customs and Border Protection: CBP) และระบุรายละเอียดให้ครบถ้วน ได้แก่ 

  • ท่าเรือปลายทางหรือเมืองที่สินค้าจะเข้าสหรัฐฯ
  • ข้อมูลผู้ซื้อและผู้ขาย
  • รายละเอียดสินค้า เช่น ชื่อสินค้า ปริมาณ และราคาซื้อขาย
  • ส่วนลดคืนเงิน และเงินอุดหนุนจากรัฐที่เกี่ยวข้องกับสินค้านั้น ๆ
  • ประเทศต้นทางของสินค้า
  • สินค้าหรือบริการเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับการผลิต

ทั้งนี้ ใบกำกับสินค้าจะต้องจัดทำเป็นภาษาอังกฤษ หรือมีคำแปลภาษาอังกฤษที่ถูกต้องแนบมาด้วย เพื่อให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรตรวจสอบได้อย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ สินค้าบางประเภทอาจต้องมีเอกสารเฉพาะเพิ่มเติม เช่น ใบอนุญาตนำเข้า ใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin) หรือเอกสารรับรองคุณภาพ เพื่อยืนยันว่าสินค้าได้รับอนุญาตให้นำเข้าตามกฎหมายของสหรัฐฯ 

เพื่อความถูกต้องและลดความเสี่ยงจากความผิดพลาดในขั้นตอนเอกสาร ผู้ประกอบการสามารถใช้การดำเนินพิธีการศุลกากรจาก DHL ซึ่งมีทีมผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลทุกขั้นตอน ตั้งแต่การตรวจเอกสารจนถึงการผ่านด่านศุลกากร ช่วยให้การส่งออกสินค้ากับ DHL ไปอเมริกาเป็นเรื่องง่าย ปลอดภัย และรวดเร็วยิ่งขึ้น

3. เข้าใจระบบพิกัดอัตราศุลกากรของสหรัฐฯ (Harmonised Tariff Schedule: HTS)

Harmonised Tariff Schedule (HTS) หรือระบบพิกัดอัตราศุลกากรของสหรัฐอเมริกา เป็นเครื่องมือสำคัญในการกำหนดว่าสินค้านำเข้าประเภทใดต้องเสียภาษี หรือต้องได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้า โดยในระบบ HTS จะมีการจัดหมวดหมู่สินค้าทุกประเภทตามรหัสเฉพาะ ซึ่งแต่ละรหัสจะระบุอัตราภาษีศุลกากรที่ต้องชำระอย่างชัดเจน 

ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยที่ต้องการส่งของไปอเมริกา จำเป็นต้องเข้าใจระบบ HTS และจำแนกประเภทสินค้าของตนให้ถูกต้องตามพิกัดศุลกากร อีกทั้งการระบุรหัสสินค้าอย่างแม่นยำยังจะช่วยให้กระบวนการการจัดส่งของไปสหรัฐอเมริกา เป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ลดความเสี่ยงจากการประเมินภาษีผิดพลาด และช่วยให้การตรวจปล่อยสินค้าผ่านศุลกากรเป็นไปอย่างรวดเร็วไม่สะดุด

4. รหัส MID (Manufacturers Indentification Code)

MID หรือรหัสผู้ผลิต คือรหัสเฉพาะที่ใช้ในการระบุผู้ผลิตหรือผู้ส่งสินค้า ซึ่งเป็นเครื่องมือที่จำเป็นและมีความสำคัญต่อการตรวจสอบสินค้าสำหรับการผ่านพิธีการศุลกากรอย่างเป็นทางการของสหรัฐอเมริกา 

รหัส MID จะถูกรายงานต่อกับหน่วยงานศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐฯ (U.S. Customs and Border Protection: CBP) ในขั้นตอนการนำเข้าสินค้าและสรุปการนำเข้าสินค้าไปยังสหรัฐอเมริกา โดยรหัส MID จะถูกสร้างขึ้นจากชื่อและที่อยู่ใน Commercial Invoice ผ่านกระบวนการทางอัลกอริธึม เพื่อให้ได้มาซึ่งรหัสเฉพาะสำหรับผู้ผลิตหรือผู้ส่งสินค้านั้นๆ ส่วนใหญ่แล้วผู้ส่งออกหรือผู้ส่งสิงค้าจะเป็นผู้ระบุรหัส MID นี้ อย่างไรก็ตามสำหรับสินค้าในกลุ่มสิ่งทอและผลิตภัณฑ์จากสิ่งทอ (เช่น เบาะ, ธง, เต็นท์) รหัส MID จะต้องระบุข้อมูลผู้ผลิตสินค้าจริง

รูปแบบของรหัส MID จะเหมือนกันเสมอ เพื่อให้ศุลกากรหรือผู้ใช้งานทุกคนสามารถระบุและใช้ MID เดียวกันเมื่อดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับศุลกากร โดยรหัส MID จะมีองค์ประกอบทั้งหมด 4 ส่วนดังนี้

  • รหัสประเทศ: ใช้รหัสประเทศ ISO แบบ 2 ตัวอักษร* เช่น Germany คือ DE
  • ชื่อบริษัท: ใช้ตัวอักษร 3 ตัวแรกของแต่ละคำ จาก 2 คำแรกของชื่อ
  • เลขที่อยู่: ใช้เลข 4 หลักแรกของตัวเลขที่ใหญ่ที่สุดในบรรทัดที่อยู่ (ไม่รวมรหัสไปรษณีย์)
  • ชื่อเมือง: ใช้อักษร 3 ตัวแรกของชื่อเมือง เช่น London คือ LON

*หมายเหตุ: รหัสประเทศใช้แบบ ISO 2 ตัวอักษร ยกเว้นประเทศแคนาดา (Canada) ซึ่งจะใช้เป็นรหัสจังหวัด

5. สินค้าต้องห้ามและสินค้าที่มีข้อจำกัดในการนำเข้า

ไม่ว่าคุณจะจัดส่งของไปอเมริกาที่เมืองนิวยอร์ก ลอสแอนเจลิส ซีแอตเทิล ฟลอริดา แคลิฟอร์เนีย หรือเท็กซัส สหรัฐอเมริกามีกฎระเบียบเข้มงวดเกี่ยวกับสินค้าบางประเภทที่ห้ามนำเข้า หรือสามารถนำเข้าได้เฉพาะในบางเงื่อนไข เพื่อปกป้องเศรษฐกิจ ความปลอดภัย สุขภาพของผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อมของประเทศ ด้วยเหตุนี้ ผู้ประกอบการไทยจึงควรศึกษาให้ละเอียดว่าสินค้าประเภทใดอยู่ในกลุ่มต้องห้ามหรือมีข้อจำกัด ก่อนทำการส่งของจากไทยไปสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกยึดสินค้า ปรับเงิน หรือถูกระงับการนำเข้าในอนาคต

ตัวอย่างสินค้าที่อยู่ภายใต้ข้อบังคับของศุลกากรสหรัฐฯ เช่น การส่งไข่ ดักแด้ หรือหนอนของแมลงบางชนิดจะถูกห้ามนำเข้า ยกเว้นในกรณีที่ใช้เพื่อการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และได้รับอนุญาตจากกระทรวงเกษตรของสหรัฐฯ (USDA) รวมถึงการนำเข้าพืชและผลิตภัณฑ์จากพืชต้องเป็นไปตามข้อกำหนดของหน่วยงานเดียวกัน ซึ่งอาจมีการจำกัดหรือห้ามในบางประเภทอย่างเข้มงวด 

นอกจากนี้ การนำเข้าอาวุธ กระสุน วัตถุระเบิด หรือยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ต้องได้รับใบอนุญาตจากหน่วยงาน Bureau of Alcohol, Tobacco, Firearms and Explosives (ATF) ภายใต้กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ เช่นเดียวกับยาเสพติดหรือสารควบคุม (Controlled Substances) ซึ่งต้องได้รับการอนุญาตจากหน่วยงาน Drug Enforcement Administration (DEA) ก่อนนำเข้าอย่างถูกกฎหมาย ไม่เช่นนั้นอาจจะนำไปสู่บทลงโทษทางกฎหมายที่รุนแรง

ส่งของไปต่างประเทศกับ DHL Express

เมื่อสภาวะการค้าระหว่างประเทศมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ผู้ประกอบการไทยจึงจำเป็นต้องมีพาร์ตเนอร์ด้านโลจิสติกส์ที่ไว้ใจได้ เพื่อช่วยจัดการกับความซับซ้อนของกฎระเบียบการนำเข้า-ส่งออก และข้อกำหนดด้านภาษีในแต่ละประเทศ บริการจัดส่งระหว่างประเทศ DHL พร้อมเป็นผู้ช่วยสำคัญที่จะทำให้การส่งออกของคุณเป็นไปอย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพสูงสุด 

DHL Express ช่วยให้ธุรกิจคุณพร้อมแข่งขันได้ทั่วโลก ด้วยบริการที่โดดเด่น ได้แก่

  • อัปเดตข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับอัตราภาษีและกฎระเบียบทางการค้าอยู่เสมอ
  • ตรวจสอบความถูกต้องของเอกสาร เพื่อให้ผ่านศุลกากรได้อย่างรวดเร็ว
  • ส่งมอบพัสดุได้อย่างต่อเนื่องและตรงเวลาในทุกเมืองหลักของสหรัฐฯ
  • ปกป้องมูลค่าสินค้าด้วยโซลูชันเฉพาะที่ออกแบบมาให้เหมาะกับธุรกิจแต่ละประเภท

ด้วยประสบการณ์อันยาวนานด้านการจัดส่งระหว่างประเทศไปอเมริกา และความเชี่ยวชาญในโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ DHL Express พร้อมมอบโซลูชันการจัดส่งที่มีความน่าเชื่อถือ รวดเร็ว และปรับให้เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นค่าขนส่งจากไทยไปอเมริกาที่แข่งขันได้ ระยะเวลาขนส่งที่สั้นลง หรือบริการครบวงจรที่ช่วยลดความซับซ้อนของการดำเนินงานด้านโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ

คุณสามารถส่งพัสดุจากไทยไปอเมริกาได้อย่างมั่นใจ ไม่ว่าจะเป็นซีแอตเทิล ฟลอริดา แคลิฟอร์เนีย เท็กซัส รัฐไหนในอเมริกาหรือจุดหมายปลายทางอื่น ๆ ทั่วโลก รวมถึงการส่งพัสดุจากอเมริกามาไทย เปิดบัญชีธุรกิจกับ DHL Express วันนี้ เพื่อสัมผัสประสบการณ์การจัดส่งระหว่างประเทศที่เชื่อถือได้สำหรับผู้ประกอบการไทย หรือใช้เครื่องคำนวณค่าขนส่งออนไลน์ของ DHL เพื่อประเมินค่าใช้จ่ายล่วงหน้าได้อย่างโปร่งใสและแม่นยำก่อนจัดส่งจริง