#คําแนะนําเกี่ยวกับอีคอมเมิร์ซ

DHL Express ชวนส่องตลาดเมืองผู้ดี กับ 7 ข้อต้องรู้ ก่อนส่งของไปอังกฤษ

facebook sharing button
twitter sharing button
linkedin sharing button
Smart Share Buttons Icon Share
 DHL Express ชวนส่องตลาดเมืองผู้ดี กับ 7 ข้อต้องรู้ ก่อนส่งของไปอังกฤษ

พอเข้าฤดูกาลพรีเมียร์ลีก ประเทศอังกฤษก็คึกคักเป็นพิเศษ แต่จะบอกว่าอังกฤษไม่ได้มีเสน่ห์แค่เรื่องกีฬาเท่านั้น เรื่องธุรกิจอีคอมเมิร์ซโดยเฉพาะอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนก็มีสีสันไม่เบา ประเทศที่เป็นเกาะเล็กๆ แห่งนี้ เป็นอีกหนึ่งตลาดที่เย้ายวนใจไม่แพ้ตลาดหลักอย่างจีน ยุโรป หรืออเมริกาเลย คนไทยเองก็ส่งของไปอังกฤษเป็นว่าเล่น

บทความนี้ DHL Express เลยจะพาคุณไปสำรวจตลาดเมืองผู้ดีที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก เพื่อค้นหาศักยภาพและโอกาสธุรกิจใหม่ๆ สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการขยายตลาดในต่างแดน ร้านค้าและธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่สนใจอยากส่งสินค้าไปขายที่ประเทศอังกฤษ พร้อมด้วยทิปดีๆ ที่ช่วยให้การส่งของไปอังกฤษเป็นเรื่องง่ายและถึงมือผู้รับปลายทางอย่างราบรื่น โดยมี DHL Express ผู้นำด้านการขนส่งด่วนระหว่างประเทศ เป็นผู้ช่วยมืออาชีพในการส่งของไปอังกฤษอย่างสะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ

ลุยตลาดอังกฤษกับ 7 ข้อต้องรู้ ก่อนส่งของไปอังกฤษ!

*หมายเหตุ ในบทความนี้ ประเทศอังกฤษ หมายถึงเครือจักรภพอังกฤษ (United Kingdom) ซึ่งประกอบไปด้วยประเทศต่างๆ 4 ประเทศ ได้แก่ อังกฤษ สก็อตแลนด์ เวลส์​ ​และไอร์แลนด์เหนือ

1.  เกาะเล็กๆ แต่ตลาดไม่เล็ก

ประเทศอังกฤษได้รับสมญานามว่าดินแดนที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน เพราะไม่ว่าจะไปส่วนใดของโลก ก็มีดินแดนที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของอังกฤษอยู่ทั้งสิ้น ปัจจุบันอังกฤษก็ยังคงเป็นประเทศที่มีความยิ่งใหญ่ทางเศรษฐกิจ และเป็นหนึ่งในตลาดส่งออกสำคัญของโลก จนใครๆ ก็อยากส่งของไปอังกฤษตอนนี้เลย !

·       อังกฤษมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก

·       อังกฤษมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของสหภาพยุโรป

·       ในปี 2016 อังกฤษเป็นผู้นำเข้าสินค้ารายใหญ่อันดับ 5 ของโลก คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 636.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

·       ธนาคารโลกจัดให้อังกฤษเป็นประเทศที่สะดวกต่อการทำธุรกิจอันดับที่ 7 จาก 190 ประเทศ

·       ดัชนีคุณภาพชีวิตของอังกฤษอยู่อันดับที่ 16 จากทั้งหมด 56 อันดับ

2.  โอกาสของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ

ธุรกิจค้าปลีกของอังกฤษเติบโตเรื่อยๆ ไม่หวือหวา แต่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซกลับโตเด่นอย่างเห็นได้ชัด คนอังกฤษใช้จ่ายออนไลน์ต่อครัวเรือนมากกว่าประเทศใดในโลก คิดเป็นมูลค่า 5,900 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อครัวเรือน นอกจากนี้ ผู้บริโภคชาวอังกฤษโดยเฉพาะนักช้อปรุ่นเยาว์ ยังชื่นชอบการช้อปผ่านมือถือและแท็บเล็ต ดังนั้นอย่าลืมเช็กให้แน่ใจว่าหน้าร้านออนไลน์ของคุณออกแบบมาสำหรับการช้อปผ่านมือถือด้วย ต่อไปนี้เป็นข้อมูลที่ยืนยันว่าทำไมอังกฤษจึงเป็นประเทศที่เปี่ยมไปด้วยโอกาสดีสำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ

·       ประชากรอังกฤษ 59 ล้านคน จาก 65 ล้านคน ใช้อินเทอร์เน็ต

·       ผู้บริโภคชาวอังกฤษช้อปออนไลน์มากถึง 65% ในปี 2015

·       อังกฤษมียอดขายออนไลน์คิดเป็น 18% ของยอดค้าปลีกทั้งหมด ซึ่งยังเติบโตได้อีกมาก

·       ในปี 2017 ธุรกิจอีคอมเมิร์ซแบบค้าปลีกของอังกฤษมีมูลค่าสูงกว่า 110 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

·       ในปี 2021 ยอดค้าปลีกบนมือถือของอังกฤษจะมีสัดส่วนเป็น 51.7% ของยอดขายอีคอมเมิร์ซแบบค้าปลีกทั้งหมด เพิ่มขึ้นจาก 43% ในปี 2017

·       ธุรกิจอีคอมเมิร์ซแบบ B2B ของอังกฤษ มียอดขายสูงถึง 96.5 พันล้านปอนด์ ในปี 2015

3.  ทิปไม่ลับมัดใจนักช้อปอังกฤษ

นอกจากคุณภาพของสินค้าที่จะมัดใจผู้ซื้อแล้ว การให้บริการที่ประทับใจและแสดงออกได้ว่าเราคือมืออาชีพจะทำให้ลูกค้าชาวอังกฤษเลิฟแบรนด์ของคุณมากยิ่งกว่าเดิม

·       เนื่องจากอังกฤษประกอบไปด้วยแว่นแคว้นต่างๆ รวม 4 ประเทศ ซึ่งมีอัตลักษณ์ของตนเอง ดังนั้นหากไม่แน่ใจว่าลูกค้าของคุณมาจากส่วนไหน ให้เลี่ยงการใช้คำว่าคนอังกฤษหรือ English แต่เปลี่ยนไปใช้คำว่า British แทน

·       อังกฤษมีสาธารณูปโภคพื้นฐานสำหรับลอจิสติกส์ที่ดีมาก ผู้ให้บริการอีคอมเมิร์ซมักมีบริการส่งด่วนภายใน 1 วัน ส่วนเจ้าของธุรกิจที่ตัวอยู่ในประเทศไทยนั้น ถ้าจะส่งของไปอังกฤษ ยิ่งต้องเน้นความรวดเร็วให้สอดคล้องกับความคาดหวังและความเคยชินของคนอังกฤษ ต้องมีตัวเลือกในการส่งของให้หลากหลาย และมีหลายระดับราคาให้เลือก

·       บริการคือหัวใจสำคัญ นักช้อปที่พอใจกับสินค้าและบริการจะกลับมาซื้อซ้ำ โดยนักช้อปออนไลน์ชาวอังกฤษมากถึง 9 จาก 10 ราย บอกว่าจะสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศอีก

4.  สินค้าที่มีการเติบโตสูง

สินค้านำเข้าของอังกฤษที่มีการเติบโตสูง ได้แก่

·  รถยนต์และอะไหล่ยานยนต์​: อัตราการเติบโตเป็นไปช้าๆ แต่คาดการณ์ว่าในอนาคตตลาดนี้จะเติบโตอย่างรวดเร็ว

· ยารักษาโรค: ในช่วงปี 2009 ถึง 2016 อังกฤษนำเข้ายาเพิ่มขึ้นเกือบ 60% และคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 33 พันล้านดอลลาร์หสรัฐฯ​ ในปี 2016

· สินค้าอิเล็กทรอนิกส์: ตลาดมีการเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยในช่วงปี 2009 ถึง 2016 อังกฤษนำเข้าสมาร์ทโฟน แผงวงจร และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เพิ่มขึ้นเกือบ 8,000%

ดังนั้น หากคุณเป็นผู้ส่งออกหรือร้านค้าออนไลน์ที่มีสินค้าซึ่งเป็นที่ต้องการสูงเหล่านี้อยู่ คุณก็สามารถเริ่มเปิดตลาดค้าขายกับอังกฤษได้ไม่ยาก ยิ่งเมื่อมี DHL Express เป็นผู้ช่วยในการขนส่งสินค้าไปสู่จุดหมายปลายทางอย่างเป็นมืออาชีพ คุณก็มีเวลาไปใช้ในการวางกลยุทธ์ธุรกิจมากขึ้น

5. คนไทยส่งอะไรไปอังกฤษบ้าง

อย่าเพิ่งถอดใจถ้าสินค้าของคุณไม่ได้อยู่ในเทรนด์ข้างต้น DHL Express ได้เช็กสถิติย้อนหลัง 3 เดือน เพื่อค้นหาว่าคนไทยนิยมส่งอะไรไปอังกฤษ (ไม่รวมการส่งของโดยไปรษณีย์ไทย และ EMS) ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้คุณคาดการณ์ได้ว่าสินค้าอะไรที่น่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาดอังกฤษ

·       เสื้อผ้าแฟชั่น กระเป๋า

·       อาหารเสริม และยารักษาโรค (ต้องมีใบสั่งแพทย์)

·       ของใช้ส่วนตัว เช่น กระเป๋า นาฬิกา

·       อาหารแห้ง ของขบเคี้ยว เครื่องปรุงรส เช่น น้ำพริกต่างๆ เป็นต้น

เพื่อให้การส่งของไปอังกฤษราบรื่นและถึงมือผู้รับปลายทางอย่างรวดเร็ว อย่าลืมระบุข้อมูลสิ่งของข้างในอย่างละเอียด โดยมีข้อมูลประเภทสินค้า แบรนด์ ขนาด วัสดุ จำนวน วิธีการใช้ เช่น การส่งเสื้อเชิ้ตสำหรับผู้ชาย ให้เขียนอธิบายว่า “เสื้อเชิ้ตสำหรับผู้ชาย แบรนด์ ISSUE ไซส์ L ทำจากผ้าไหม 100% จำนวน 2 ตัว ใช้เพื่อสวมใส่” เป็นต้น

ในทางกลับกัน ถ้าคุณจะส่งของจากอังกฤษกลับมาไทยก็ทำได้ง่ายๆ แค่ติดต่อ DHL Express ประเทศอังกฤษ เพื่อนัดหมายกับเจ้าหน้าที่คูเรียร์ให้เข้ารับของถึงประตูบ้านได้เลย แต่ถ้าตัวผู้นำเข้าอยู่ประเทศไทย และต้องการจัดการการนำเข้าจากอังกฤษมาไทยเองทุกอย่าง ก็ทำได้สบายมาก คลิกที่นี่เพื่อทำรายการนำเข้าด้วยตัวเองได้เลย

6. ระเบียบด้านการค้าและศุลกากร

อังกฤษก็เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ที่มีกฎระเบียบด้านการค้าและศุลกากรของตนเอง ต่อไปนี้เป็นข้อกำหนดเบื้องต้นที่คุณควรรู้เกี่ยวกับการส่งของไปอังกฤษ

·       อังกฤษไม่อนุญาตให้นำเข้าผลิตภัณฑ์โอเมก้า 3 ในรูปแบบบริษัท แต่สามารถนำเข้าในนามบุคคลได้ไม่เกิน 20 กิโลกรัม

·       สิ่งของส่วนใหญ่ต้องเสียภาษีโดยเฉลี่ย 3.5-5% แต่บางประเภทอาจสูงถึง 30%

·       สิ่งของราคาต่ำกว่า 15 ปอนด์ ต้องเสียภาษีอากร

·       สิ่งของราคา 15 - 135 ปอนด์ ไม่ต้องเสียภาษีอากร แต่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)

7. ส่งของไปอังกฤษอย่างไรให้เร็วทันใจ ไม่ติดศุลกากร

ทำตามทิปต่อไปนี้ เพื่อช่วยให้ของของคุณไปถึงมือผู้รับที่ปลายทางได้เร็วขึ้น

·       เตรียมเอกสารที่จำเป็นให้ครบถ้วน

·       เขียนคำบรรยายสินค้าอย่างละเอียด

·       ใช้โค้ดสินค้าให้ถูกต้องตามระบบ Tariff Finder

·       เขียนชื่อที่อยู่ผู้รับอย่างละเอียด เพื่อให้ DHL Express ส่งของถึงมือผู้รับได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

·       ตรวจสอบดูว่าคุณจำเป็นต้องใช้ใบอนุญาตส่งออกจากประเทศต้นทางหรือไม่ ถ้าไม่แน่ใจว่าของที่ส่งจำเป็นต้องมีใบอนุญาตหรือไม่ เป็นสิ่งของต้องห้าม (Prohibited goods) หรือสิ่งของต้องกำกัด (Restricted goods) หรือเปล่า สามารถโทรหาแผนกบริการลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมงที่เบอร์ 02-345-5000 เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของ DHL Express ให้คำแนะนำในการจัดเตรียมเอกสาร

เราหวังว่าอินไซต์ที่นำมาฝากจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องการค้าขายกับประเทศอังกฤษ และผู้ที่ต้องการส่งของไปอังกฤษ ไม่ว่าธุรกิจของคุณจะมีขนาดเล็กหรือใหญ่ ให้ DHL Express เป็นผู้ช่วยที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้การส่งของไปอังกฤษของคุณเป็นเรื่องง่ายและไร้กังวล ด้วยบริการ Door-to-Door Service ที่เข้ารับสินค้าถึงหน้าประตูบ้าน และส่งถึงมือผู้รับในจุดหมายปลายทางกว่า 220 ประเทศทั่วโลก

แต่ถ้าต้องการส่งของไปอังกฤษจากหน้าจอ แนะนำแพลตฟอร์ม MyDHL+ จาก DHL Express ที่ให้คุณใช้บริการส่งออกและนำเข้าได้ในเว็บเดียว โดยไม่ต้องมีบัญชีสมาชิก ใช้งานง่าย รู้ใจคุณ สามารถเช็กราคาค่าส่ง ทำบุ๊กกิ้งออนไลน์ และตรวจสอบสถานะสิ่งของได้ง่ายๆ เช็กราคาค่าขนส่งเบื้องต้นได้ด้วยตนเอง ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้

วิธีเช็กราคาค่าส่งเบื้องต้น

  1. เข้าไปที่ https://mydhl.express.dhl/index/en.html
  2. กรอกรายละเอียดของประเทศต้นทาง และปลายทางของการจัดส่งสินค้า (ในกรณีส่งของไปอังกฤษ เลือกประเทศปลายทางเป็น United Kingdom)
  3. เลือกประเภทชิปเมนต์ที่จัดส่ง ว่าเป็นเอกสาร หรือพัสดุ
  4. ระบุขนาดของชิปเมนต์ จะปรากฎหน้าจอแสดงอัตราค่าบริการของการจัดส่งผ่านช่องทางต่างๆ ได้แก่ ใช้บริการผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ MyDHL+ , ติดต่อ Customer Service เพื่อนัดรับชิปเมนต์ หรือนำส่งชิปเมนต์ด้วยตัวเองที่จุดบริการดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส ใกล้คุณ
คลิก เช็กราคาส่งของไปอังกฤษเลย