#คําแนะนําด้านโลจิสติกส์

โลจิสติกส์คืออะไร? ความหมาย ความสำคัญ ขั้นตอนและตัวอย่าง

Anna Thompson
Anna Thompson
Discover content team
7 min read
facebook sharing button
twitter sharing button
linkedin sharing button
Smart Share Buttons Icon Share
people in a warehouse

โลจิสติกส์มีผลต่อประสบการณ์ของลูกค้าที่มีต่อธุรกิจของคุณ นี่คือวิธีเพิ่มประสิทธิภาพกลยุทธ์ด้านโลจิสติกส์เพื่อให้แน่ใจโลจิสติกส์ของคุณมีประสิทธิภาพ ส่งมอบสินค้าในเวลาที่เหมาะสม เพื่อประสบการณ์ที่ดีของลูกค้า พร้อมกับประหยัดต้นทุนให้กับธุรกิจของคุณด้วย

โลจิสติกส์คืออะไร?

โลจิสติกส์เป็นเรื่องของระบบการจัดการและจัดส่งสินค้า รวมไปถึงการวางแผนที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดเก็บและขนส่งสินค้าไปยังลูกค้าปลายทาง  โลจิสติกส์ครอบคลุมตั้งแต่การจัดซื้อ การจัดการสินค้าคงคลัง การกระจายคลังสินค้า การขนส่ง และการจัดการความเสี่ยง

สําหรับ SME หรือธุรกิจขนาดเล็กในภาคอีคอมเมิร์ซ - โลจิสติกส์เป็นสิ่งสำคัญในการลดต้นทุนเพื่อการแข่งขัน และยังจำเป็นต่อการขนส่งที่รวดเร็ว ตรงต่อเวลา

โลจิสติกส์คือ:

  1. การย้ายผลิตภัณฑ์และ/หรือวัสดุจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง
  2. รับวัตถุดิบจากคู่ค้า/ซัพพลายเออร์มายังธุรกิจของคุณ
  3. การขนส่งที่เชื่อถือได้
  4. การจัดการคลังสินค้าและการจัดเก็บ
  5. ส่วนหนึ่งของกระบวนการจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain)
  6. คุ้มค่ากับการลงทุนและวางแผนอย่างจริงจัง

 

โลจิสติกส์ไม่ใช่:

  1. สิ่งที่รอได้ หรือทิ้งไว้ทำทีหลัง
  2. ห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain) แต่เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานที่สำคัญของธุรกิจคุณ
  3. ขั้นตอนที่คุณต้องทําเอง - สามารถจ้างให้ผู้เชี่ยวชาญหรือบุคคลภายนอกจัดการให้กับธุรกิจของคุณ

การจัดการโลจิสติกส์และห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain)

อาจะมีความสับสนเกิดขึ้นระหว่าง 'โลจิสติกส์' กับ 'ห่วงโซ่อุปทาน'  ซึ่งหมายถึงห่วงโซ่ของสินค้า/วัตถุดิบก่อนเข้าสู่ขั้นตอนของธุรกิจคุณ 

ห่วงโซ่อุปทาน = การพูดถึงภาพรวม เครือข่ายทั้งหมดของ กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการจัดหาและจัดการวัตถุดิบ การแปลงวัตถุดิบเหล่านั้นให้เป็นสินค้าสําเร็จรูปและการกระจายสินค้าสําเร็จรูปเหล่านั้น ห่วงโซ่อุปทานมักเป็นสิ่งที่ธุรกิจของคุณควบคุมได้เพียงเเค่เล็กน้อยเท่านั้น

โลจิสติกส์ = นี่เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานที่ธุรกิจของคุณ สามารถควบคุมโดยตรง โลจิสติกส์เกี่ยวกับระบบการจัดส่งสินค้า ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ การจัดการบรรจุภัณฑ์ การขนส่ง การจัดการสินค้าคงคลังและการจัดเก็บสินค้า

โลจิสติกส์มีความสําคัญอย่างไร

การวิจัยอุตสาหกรรมพบว่ากว่า 60% ของบริษัทในสหรัฐอเมริกาและยุโรปเสียรายได้มากถึง 20% ในปี 2020 เนื่องจากการหยุดชะงักด้านโลจิสติกส์1.จากผลกระทบของ Covid-19 และยังเน้นว่ากลยุทธ์ด้านโลจิสติกส์มีความสําคัญต่อผลกําไรของธุรกิจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็ก และสตาร์ทอัพที่มีอัตรากําไรจำกัด

นอกจากนี้ประสิทธิภาพของการดําเนินงานด้านโลจิสติกส์มีผลต่อประสบการณ์ของลูกค้ากับธุรกิจของคุณ ตัวอย่างจากการจัดการสินค้าคงคลัง เช่น: กว่า 37% ของนักซื้อของออนไลน์เมื่อเห็นข้อความเตือนสินค้าหมดสต็อกจะตัดสินใจซื้อกับแบรนด์อื่น นอกจากนี้ยังมีเรื่องการขนส่งสินค้า บรรจุภัณฑ์ การจัดส่ง หรือแทบจะทุกขั้นตอนของโลจิสติกส์ ซึ่งหากธุรกิจของคุณไม่มีการจัดการหรือกลยุทธ์ที่เหมาะสม ท้ายที่สุดสิ่งเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อลูกค้าของคุณ ดังนั้น...ถึงเวลาที่จะเริ่มจริงจังกับโลจิสติกส์ของธุรกิจคุณ!

การจัดการโลจิสติกส์คืออะไร?

การจัดการโลจิสติกส์เป็นกลยุทธ์ที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อ การจัดเก็บวัตถุดิบและสินค้าคงคลัง และการขนส่งเคลื่อนย้ายจากต้นทางไปสู่ปลายทางอย่างมีประสิทธิภาพ

'Seven Rs' เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมในการกําหนดเป้าหมายสำหรับการจัดการโลจิสติกส์:

  • Get the right product 
  • At the right quantity 
  • At the right time 
  • In the right condition  
  • To the right place 
  • And to the right customer 
  • At the right cost 

มั่นใจได้เลยว่าธุรกิจจะยังคงมีความสามารถในการแข่งขันต่อไป เมื่อนำหลัก Seven Rs มาใช้ในโลจิสติกส์

วิธีเพิ่มประสิทธิภาพให้โลจิสติกส์

ก่อนอื่น คุณต้องกําหนดเป้าหมายเพื่อกำหนดแนวทางให้ตอบโจทย์กับเป้าหมาย อาจจะเป็น:

  • เพื่อลดต้นทุน
  • เพื่อยอดขายที่สูงขึ้น
  • เพื่อลดปัญหาสินค้าล้นสต็อก
  • เพื่อปรับปรุงเวลาในการจัดส่งให้กับลูกค้า

... หรืออาจจะรวมกันทั้งหมดนี้ก็ได้ สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก และสตาร์ทอัพที่มีอัตรากําไรน้อยมากอยู่แล้ว

ปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะมีส่วนสําคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพให้โลจิสติกส์ของคุณ  จากการศึกษาของ McKinsey3 AI ช่วยปรับปรุงต้นทุนโลจิสติกส์ได้ 15% ระดับสินค้าคงคลัง 35% และการบริการ 65%

แล้วคุณจะนำเทคโนโลยีอัตโนมัติ (Automation technology) ไปใช้กับขั้นตอนโลจิสติกส์ของคุณได้อย่างไร

การจัดการสินค้าคงคลัง (Inventory Management)

การสํารวจจาก Wakefield Research พบว่า 73% ของผู้ค้าปลีกกล่าวว่าพวกเขามีปัญหากับการคาดการณ์ความต้องการของสินค้า ในขณะที่ 65% กล่าวว่าพวกเขามีปัญหาในการติดตามสินค้าคงคลังผ่านห่วงโซ่อุปทาน4

การจัดการสินค้าคงคลังด้วยวิธีอัตโนมัติเป็นสิ่งสําคัญในการสามารถส่งมอบให้ทันเวลา และบรรลุ KPI ที่ตั้งไว้

เมื่อนำเทคโลโลยี ซอฟแวร์มารวมกับการจัดการสินค้าคงคลัง คุณจะสามารถ:

  • ติดตามทุกรายการที่มาถึงหรือออกจากคลังสินค้าแบบเรียลไทม์
  • ตรวจสอบอัตราการหมุนเวียนสินค้าคงคลังของคุณเพื่อดูว่าตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าหรือมีการล้นสต็อกหรือไม่
  • ใช้ข้อมูลการขายจากหลายช่องทางเพื่อคาดการณ์ความต้องการที่แม่นยํายิ่งขึ้น
  • จัดซื้ออัตโนมัติ เมื่อสินค้าเหลือน้อยจนถึงเกณฑ์ที่กำหนด
  • จัดระเบียบคลังสินค้าของคุณได้ดีขึ้น
  • เปรียบเทียบราคาจากซัพพลายเออร์หลายเจ้า เพื่อค้นหาข้อเสนอราคาที่ดีที่สุด
  • ลดความผิดพลาดของมนุษย์จากการจัดการสต็อกและ สร้างรายงานอัตโนมัติ

คลังสินค้า (Warehouse)

สินค้าและผลิตภัณฑ์ทั้งหมดจะต้องถูกจัดเก็บ บรรจุและขนส่งด้วยความสม่ําเสมอจากคลังสินค้าหรือศูนย์กระจายสินค้า เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าจะอยู่ในสภาพที่เหมาะสมเมื่อถูกส่งมอบไปให้ลูกค้าปลายทาง

เคล็ดลับสำหรับการจัดการคลังสินค้าที่มีประสิทธิภาพ:

ความแม่นยําในการหยิบสินค้า: เปอร์เซ็นต์ของคําสั่งซื้อที่ถูกต้องจากจํานวนคําสั่งซื้อทั้งหมด ลูกค้าที่ส่งคืนเพราะคำสั่งซื้อไม่ถูกต้องจะทําให้ธุรกิจของคุณเสียเงินและสูญเสียลูกค้าประจำด้วย! สิ่งนี้จะช่วยให้คุณตั้งค่า KPI เพื่อการวัดและการปรับปรุงได้

ตรวจสอบการจัดวางคลังสินค้า: ตัวอย่างเช่น การวางสินค้าขายดีไว้ใกล้กับจุดคัดแยก จุดห่อบรรจุภัณฑ์ และจุดส่ง การจัดวางแบบนี้ช่วยลดเวลาในการเดินของพนักงาน อย่าลืมนำข้อมูลการขายและการตลาด รวมถึงคาดการณ์ถึงช่วงขายดี สิ่งเหล่านี้ช่วยให้คุณสามารถจัดสรรพื้นที่สําหรับสินค้าคงคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นำหุ่นยนต์มาประยุกต์ใช้: จาก Whitepaper ของดีเอชแอล - แนวโน้มโลจิสติกส์ ฉบับที่ 6 - หุ่นยนต์เป็นนวัตกรรมที่ธุรกิจควรเตรียมไว้เพื่อเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมในอนาคตอันใกล้ หุ่นยนต์ถูกนำมาใช้ในการวางแผน เส้นทางแบบเรียลไทม์เพื่อค้นหาเส้นทางที่มีประสิทธิภาพสูงสุดรอบคลังสินค้าเพื่อลดต้นทุนในการปฏิบัติ คำถามที่คุณต้องถามตัวเองก็คือ หุ่นยนต์เหมาะกับ ธุรกิจของคุณ หรือไม่?

การขนส่ง (Transportation)

การขนส่งสินค้าเป็นส่วนสําคัญของขั้นตอนทางโลจิสติกส์ การปรับเปลี่ยนเล็กๆน้อยๆ ก็สามารถช่วยคุณประหยัดต้นทุนได้ สิ่งสำคัญที่ต้องดูตลอดการขนส่งก็คือ เวลาจัดส่งเฉลี่ย (Average Delivery Time) และอัตราการส่งตรงเวลา (On-Time Delivery Rate) - ตัวเลขพวกนี้จะทำให้เรารู้ว่าต้องมีการพัฒนาเพิ่มเติมที่จุดใดเป็นพิเศษ

สําหรับธุรกิจที่จัดส่งสินค้าในยานพาหนะของตนเอง ซอฟต์แวร์การวางแผนเส้นทางที่ดีนั้นจำเป็นมาก หลายบริษัท เช่น Stream5 และ OptimoRoute6 ทํางานร่วมกับลูกค้าธุรกิจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการวางแผนเส้นทาง กําหนดเวลา เส้นทางการจัดส่งและการเก็บสินค้าที่มีประสิทธิภาพสูงสุด  เวลาทั้งหมดที่ใช้ในการจัดส่งตลอดเส้นทาง สภาพจราจรแบบเรียลไทม์และความจุยานพาหนะ การวางแผนในขั้นตอนทั้งหมดนี้หมายความว่าสินค้าจากจุด A ไปยังจุด B จะถูกขนส่งอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยประหยัดเวลาและต้นทุน 

บรรจุภัณฑ์ (Packaging)

หากสินค้าของคุณมีบรรจุภัณฑ์เยอะเกินไป เช่น กล่องซ้อนกล่อง พลาสติกห่อสินสินค้าก่อนลงกล่อง หรือวัสดุกันกระแทกหลายชั้น นอกจากคุณจะสูญเสีย คะแนนด้านความยั่งยืน ในสายตาลูกค้าแล้ว ธุรกิจยังเสียเงินที่ไม่จำเป็นด้วย สินค้าที่ถูกบรรจุเท่าที่จำเป็นจะกินพื้นที่ในคลังและพื้นที่ระหว่างการขนส่งน้อยลง

การส่งมอบ การจัดส่ง(Delivery)

อัตราความแม่นยํา (Order accuracy rate) เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญ หากจัดส่งผิดพลาด นอกจากธุรกิจจะเสียเงินเพิ่มขึ้น และลูกค้าก็คงไม่ happy สักเท่าไหร่ วิธีแก้ปัญหาง่ายๆก็คือคุณต้องมีตัวเลือกการจัดส่งที่หลากหลาย ให้ลูกค้าเลือกการจัดส่งที่ง่ายและสะดวกที่สุดสำหรับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น การจัดส่งภายใน 2 ชั่วโมง ฝากไว้กับเพื่อนบ้านหรือพื้นที่ปลอดภัย และจัดส่งไปที่ตู้เก็บพัสดุ ทั้งหมดนี้คือตัวอย่างที่จะทำให้อัตราความสําเร็จในการจัดส่งครั้งแรกของคุณนั้นสูงขึ้น (first-time delivery success rate)

พันธมิตรด้านโลจิสติกส์ของคุณ

ธุรกิจขนาดใหญ่จํานวนมากจะจัดการโลจิสติกส์ด้วยตัวเอง เช่น มียานพาหนะขนส่งและสิ่งอํานวยความสะดวกในคลังสินค้าเป็นของตัวเอง ในขณะที่ธุรกิจขนาดเล็กมักจ้างผู้เชี่ยวชาญหรือบุคคลภายนอกการจัดการโลจิสติกส์

พันธมิตรมีหลากหลาย ตั้งแต่ first-party logistics (1PL) เกี่ยวข้องกับเพียงสองฝ่ายคือสินค้าและลูกค้า เช่นร้านดอกไม้ที่ส่งดอกไม้ให้กับลูกค้าโดยใช้รถตู้ของตัวเองไปจนถึง 5PL ซึ่งเป็นโซลูชั่นเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นอีคอมเมิร์ซ 

DHL ในฐานะผู้นําด้านโลจิสติกส์ เรามีโซลูชั่นการขนส่งมากมายเพื่อตอบสนองความต้องการของ SME  และธุรกิจอีคอมเมิร์ซ พร้อม Checklist การปฏิบัติตาม 360 รายการ ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การจัดการสินค้าคงคลัง การบรรจุ และการจัดส่ง การเป็นพันธมิตรกับ DHL จะได้รับประโยชน์จากเครือข่ายการจัดจําหน่ายระดับภูมิภาค ที่สามารถจัดส่งในวันเดียวกันและวันถัดไปได้ 

ค้นหาพันธมิตรการขนส่งที่เหมาะสมกับคุณและความต้องการของธุรกิจได้ที่ คู่มือแนะนำของเรา

FAQs :  คำถามที่พบบ่อย

Logistics nodes คืออะไร

Logistics nodes คือจุดที่สินค้าถูกจัดเก็บหรือถูกจัดส่ง เป็นสถานที่จริงที่ทําหน้าที่เป็นศูนย์กลางสําหรับการเคลื่อนย้ายสินค้าและบริการ ตัวอย่างของ Logistics nodes ได้แก่ คลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้า ศูนย์กลางการขนส่งและร้านค้าปลีก

นอกจากนี้ Logistics nodes ยังเป็นแบบออนไลน์ได้ด้วย เช่นระบบการสั่งซื้อออนไลน์ แพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ และคลังข้อมูล Logistics nodes เป็นส่วนสําคัญต่อการไหลเวียนของสินค้าและบริการ 

เทรนด์ที่สำคัญในวงการโลจิสติกส์คืออะไร?

ธุรกิจทุกวันนี้กำลังมองหาห่วงโซ่อุปทานที่คล่องตัวและยืดหยุ่นมากขึ้นกว่าเดิม ด้วยแรงผลักดันจากความต้องการของลูกค้าและการทําธุรกรรมดิจิทัลมากขึ้ นเทคโนโลยีใหม่ เช่น 5G ที่เร็วมาก กําลังทําให้โลกของโลจิสติกส์ถูกเปลี่ยนเป็นอย่างรวดเร็ว นี่คือ 5 วิธีที่ 5G สามารถช่วยโลจิสติกส์ และอาจเพิ่มประสิทธิภาพการทํางานให้กับคุณ

DHL สามารถช่วยธุรกิจของคุณเพิ่มประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์และการจัดการการขนส่งได้ ติดต่อผู้เชี่ยวชาญของเราเลย ที่นี่

1 - Cision PR Newswire, March 2021

2 - Shopify, December 2021

3 - McKinsey, AI Multiple, January 2023

4 - Wakefield Research, Supply Chain Dive, April 2023

5 - Stream

6 - OptimoRoute